โรคไตในปัจจุบันพบมากขึ้นและมีแนวโน้มเกิดกับคนอายุน้อยขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะไตวาย ถือเป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพ คุณภาพชีวิต และอาจถึงชีวิตของผู้ป่วยได้ จากสถิติพบว่าในแต่ละปี มีผู้ป่วยนับล้านทั่วโลกต้องเข้ารับการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไต เนื่องจากตรวจพบโรคช้าเกินไป
การเข้าใจว่าไตวายคืออะไร สาเหตุ อาการเตือน และวิธีป้องกันอย่างถูกต้อง จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพไตของตนเองได้ดีขึ้น และหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
1. ไตวายคืออะไร?
ไตวาย คือภาวะที่การทำงานของไตในการกรองเลือดและขจัดของเสียออกจากร่างกายลดลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้ของเสียต่าง ๆ เช่น ยูเรีย ครีอะตินิน และน้ำส่วนเกินไม่ถูกกำจัดออก เกิดความไม่สมดุลของสารและน้ำภายในร่างกาย
ไตเปรียบเสมือน “เครื่องกรองธรรมชาติ” ที่ช่วยควบคุมความดันโลหิต สมดุลน้ำ – เกลือแร่ และผลิตฮอร์โมนควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง เมื่อไตอ่อนแอ ร่างกายจะได้รับผลกระทบทั่วระบบ – ไม่ว่าจะเป็น หัวใจหลอดเลือด ระบบประสาท ภูมิคุ้มกัน และการเผาผลาญ
ไตวายแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ
- ไตวายเฉียบพลัน: เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สามารถฟื้นฟูได้ถ้าตรวจพบและรักษาทัน
- ไตวายเรื้อรัง: มีการดำเนินโรคช้าๆ ต่อเนื่อง สุดท้ายทำให้เกิดความเสียหายของเนื้อไตแบบถาวร
2. สาเหตุของโรคไตวาย

โรคไตวายเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากโรคเรื้อรังหรือบาดเจ็บเฉียบพลัน สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่
- โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง: เป็น 2 สาเหตุหลักที่ทำให้ไตเสียหายและคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 60% ของผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง
- โรคกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน/เรื้อรัง: ทำลายโครงสร้างการกรองของไตโดยตรง
- นิ่วในไตหรือการอุดตันทางเดินปัสสาวะ: ส่งผลให้ปัสสาวะคั่งค้าง เพิ่มแรงดันในไต
- การใช้ยามากเกินไป: ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด, ยาปฏิชีวนะ, ยาต้านอักเสบกลุ่ม NSAIDs อาจเป็นพิษต่อไต
- การติดเชื้อรุนแรง, ภาวะช็อก, การเสียเลือดจำนวนมาก: ส่งผลให้มีเลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง จนอาจเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน
- พันธุกรรมและอายุ: ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงภาวะไตเสื่อมมากขึ้นตามวัย
2.1 สาเหตุของไตวายเฉียบพลัน
ไตวายเฉียบพลันเกิดขึ้นรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงถึงหลายวัน โดยมักมีสาเหตุหลักๆ ได้แก่:
- การลดลงของปริมาณเลือดไปเลี้ยงไต: เช่น ภาวะขาดน้ำ เสียเลือดมาก ความดันโลหิตต่ำ หรือหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
- การทำลายเนื้อไตโดยตรง: เกิดจากสารพิษบางชนิด การติดเชื้อในกระแสเลือด หรือการได้รับยาที่มีพิษต่อไต
- การอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ: เช่น นิ่วในท่อไต ต่อมลูกหมากโต หรือก้อนเนื้องอกกดทับทางเดินปัสสาวะ
หากพบตั้งแต่เนิ่น ๆ และได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ไตวายเฉียบพลันมีโอกาสหายเป็นปกติได้
2.2 สาเหตุของไตวายเรื้อรัง
ไตวายเรื้อรังเกิดขึ้นทีละน้อยอย่างต่อเนื่องและมักใช้เวลาหลายปี สาเหตุที่พบได้บ่อย ได้แก่:
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2: ทำให้เกิดพังผืดและความเสียหายต่อหน่วยไต
- ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง: ทำลายหลอดเลือดขนาดเล็กภายในไต
- โรคไตอักเสบเรื้อรัง, โรคภูมิแพ้ตนเอง: ส่งผลให้เนื้อไตถูกทำลายจากระบบภูมิคุ้มกันระยะยาว
- โรคไตถุงน้ำหรือโรคทางพันธุกรรมอื่นๆ
- การอุดกั้นทางเดินปัสสาวะเรื้อรัง: จากนิ่ว ต่อมลูกหมากโต หรือก้อนเนื้องอก
3. กลุ่มเสี่ยงโรคไตวาย
ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคไตวาย ได้แก่
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ผู้ที่ใช้ยาแก้ปวดหรือยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน
- ผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือรับประทานอาหารเค็มบ่อย
- ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน
- ผู้ที่อายุเกิน 60 ปี หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคไต
4. อาการเตือนของโรคไตวาย

อาการระยะแรกมักไม่เด่นชัด แต่ควรสังเกตหากมีอาการดังต่อไปนี้
- รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย สมาธิลดลง
- ปัสสาวะน้อยลง ปัสสาวะกลางคืนบ่อย หรือสีเข้มผิดปกติ
- มีอาการบวมที่หน้า ขา หรือข้อเท้า
- คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
- ผิวแห้ง คัน หรือมีกลิ่นแอมโมเนียจากปาก
- ความดันโลหิตสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ
ในระยะรุนแรง ผู้ป่วยอาจมีอาการหายใจลำบาก โลหิตจาง อาการชัก หรือหมดสติจากอาการพิษในร่างกาย
5. ภาวะแทรกซ้อนจากไตวาย
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ไตวายอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายหลายประการ ได้แก่
- ความดันโลหิตสูงและภาวะหัวใจล้มเหลว
- ภาวะโลหิตจางจากการสร้าง Erythropoietin ลดลง
- ความผิดปกติของเกลือแร่: เช่น โพแทสเซียมในเลือดสูง ภาวะเป็นกรดของเลือด
- กระดูกพรุน และกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ภาวะบวมน้ำที่ปอด บวมในสมอง หรือการสะสมของของเสียในเลือด (ยูรีเมีย)
- หากเข้าสู่ระยะสุดท้ายโดยไม่ได้ฟอกไตหรือเปลี่ยนไต อาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง
6. วิธีวินิจฉัยโรคไตวาย
แพทย์จะเลือกใช้การตรวจต่าง ๆ เพื่อยืนยันและประเมินระดับความรุนแรงของโรค เช่น
- ตรวจเลือด: วัดค่าครีเอตินิน ยูเรีย เกลือแร่ และอัตราการกรองไต (GFR)
- ตรวจปัสสาวะ: ตรวจหาปริมาณโปรตีน เม็ดเลือดแดง หรือเซลล์ผิดปกติในปัสสาวะ
- อัลตราซาวนด์ไต หรือ CT Scan: ประเมินขนาด รูปร่างโครงสร้าง หรือดูการอุดกั้น
- การตัดชิ้นเนื้อไต: ใช้กรณีที่ต้องการทราบสาเหตุเฉพาะเจาะจง
7. การรักษาโรคไต
การรักษาขึ้นกับระดับของภาวะไตวายที่ผู้ป่วยเป็น โดยแพทย์จะเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุด:
7.1 การรักษาด้วยยาและควบคุมพฤติกรรม
- ควบคุมความดันโลหิต และระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์
- ใช้ยาขับปัสสาวะหรือกลุ่มยาป้องกันไต (เช่น ACEI, ARB)
- ปรับอาหารให้มีเกลือน้อย โปรตีนต่ำ และจำกัดปริมาณโปแตสเซียมกับฟอสฟอรัส
7.2 ฟอกไต (การล้างไตเทียม)
- ใช้สำหรับผู้ที่การทำงานของไตเหลือต่ำกว่า 15%
- ช่วยในเรื่องขจัดของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากเลือด
7.3 การปลูกถ่ายไต
เป็นวิธีรักษาที่ยอดเยี่ยมที่สุด เพราะสามารถฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้กลับมาใกล้เคียงปกติ
8. วิธีป้องกันโรคไตวายอย่างมีประสิทธิภาพ
กันไว้ดีกว่าแก้! หากต้องการดูแลสุขภาพไต ควรปฏิบัติ ดังนี้
- ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ5 – 2 ลิตร
- ลดการบริโภคเกลือ งดอาหารแปรรูปและอาหารสำเร็จรูป
- ควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ำตาลให้ดี
- อย่าใช้ยาแก้ปวดหรือยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น
- รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้เกินมาตรฐาน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้มีปัจจัยเสี่ยง
- การดูแลสุขภาพทั้ง 6 ข้อนี้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคไตวายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

9. คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคไตวาย
9.1. ไตวายติดต่อหรือไม่?
โรคไตวายไม่ใช่โรคติดต่อ จึงไม่สามารถแพร่จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ อย่างไรก็ตาม หากในครอบครัวมีประวัติโรคไตทางพันธุกรรม ขอแนะนำให้ตรวจสุขภาพไตเป็นประจำเพื่อป้องกันการเกิดโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
9.2. ภาวะตับวายร่วมกับไตวาย อันตรายแค่ไหน?
หากเป็นทั้งตับวายและไตวายพร้อมกัน จะทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะวิกฤตอย่างรุนแรง เพราะตับและไตต่างก็มีหน้าที่กำจัดสารพิษ หลัก หากทั้งสองอวัยวะนี้ทำงานไม่ได้ สารพิษจะตกค้างในร่างกายจนเกิดอันตรายต่อชีวิต จำเป็นต้องได้รับการดูแลในโรงพยาบาลอย่างใกล้ชิด อาจต้องฟอกไตหรือปลูกถ่ายอวัยวะ
โรคไตวายแม้อันตรายแต่สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และควบคุมได้ดีหากไปพบแพทย์สม่ำเสมอ ปฏิบัติตามคำแนะนำ และปรับพฤติกรรมสุขภาพอย่างเหมาะสม การเข้าใจสาเหตุ อาการเตือน และการป้องกัน จะช่วยให้คุณปกป้องสุขภาพไตของตนเองและคนที่คุณรักได้ดียิ่งขึ้นนะคะ

