โรคไตวายกำลังกลายเป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยและน่ากังวลในปัจจุบัน เมื่อโรคดำเนินไปจนถึงระยะสุดท้าย การทำงานของไตแทบจะไม่เหลืออยู่เลย ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถขับของเสียหรือรักษาสมดุลภายในได้ด้วยตนเอง นี่คือภาวะอันตรายที่ส่งผลต่อชีวิตโดยตรง หากไม่ได้รับการดูแลและรักษาอย่างทันท่วงที ภาวะไตวายระยะสุดท้ายคืออะไร เกิดจากสาเหตุใด สังเกตอาการได้อย่างไร และรักษาอย่างไร? บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจเรื่องนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
1. โรคไตวายระยะสุดท้ายคืออะไร?
โรคไตวายระยะสุดท้าย (End-stage Renal Disease – ESRD) คือภาวะที่รุนแรงที่สุดของโรคไตเรื้อรัง โดยในระยะนี้ ไตจะทำงานได้เหลือน้อยกว่า 15% ของสมรรถภาพปกติ (eGFR < 15) ส่งผลให้ไม่สามารถกรองของเสียหรือควบคุมสมดุลน้ำ-เกลือแร่ในร่างกายได้ เมื่อไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยจะเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย และอาจเสียชีวิตได้
2. สาเหตุของภาวะไตวายระยะสุดท้าย
มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อไตในระยะยาวและนำไปสู่ระยะสุดท้าย สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่
- เบาหวาน: ทำให้หลอดเลือดในไตเสียหาย
- ความดันโลหิตสูง: ส่งผลให้หน่วยกรองของไตแข็งตัว
- โรคไตอักเสบเรื้อรัง: ทำให้การกรองของไตเสื่อมลงทีละน้อย
- โรคไตถุงน้ำหลายใบ (Polycystic kidney disease): เป็นโรคทางพันธุกรรม
- ยาและสารเคมีที่ก่อพิษต่อไต: เช่น การใช้ยาแก้ปวด, ยาปฏิชีวนะ หรือสารโลหะหนักเป็นระยะเวลานาน
3. อาการสังเกตโรค

ในระยะสุดท้ายของโรคไต อาการจะเห็นได้ชัดเจน เช่น
- บวมทั้งตัว ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่ออกเลย
- คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ลมหายใจมีกลิ่นแอมโมเนีย
- อ่อนเพลีย หายใจเหนื่อย เวียนศีรษะ เจ็บหน้าอก
- ผิวแห้ง คันมาก เป็นตะคริวบ่อย
4. ภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย
- หัวใจและหลอดเลือด: หัวใจล้มเหลว หัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
- ความดันโลหิต: ความดันโลหิตสูงชนิดรุนแรง
- ระบบกระดูกและข้อ: กระดูกพรุน กระดูกหักง่าย
- ภาวะโลหิตจางรุนแรง: อ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันลดลง
- อาจเสียชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาด้วยการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไต
5. วิธีการรักษาและป้องกันโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย
5.1 วิธีการรักษา
- ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม: ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกายผ่านเครื่องฟอกเลือด
- ล้างไตทางช่องท้อง: ใช้เยื่อบุช่องท้องแทนการทำงานของไตในการกำจัดของเสีย
- ปลูกถ่ายไต: ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด ช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวและคุณภาพชีวิตดีขึ้น
- การรักษาเสริม: ใช้ยาควบคุมความดันโลหิต รักษาภาวะโลหิตจาง และแก้ไขความผิดปกติของเกลือแร่

5.2 วิธีป้องกันไม่ให้โรคไตลุกลามถึงระยะสุดท้าย
- ควบคุมระดับน้ำตาลและความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะตั้งใจตรวจระดับครีเอตินีนและค่า eGFR
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ ไม่กลั้นปัสสาวะ
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดหรือยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น
- ใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี เลือกอาหารที่เหมาะสม ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่
5.3 โภชนาการ และการดำเนินชีวิตสำหรับผู้ป่วยโรคไต
- รับประทานอาหารรสจืด หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป
- ลดอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง (เช่น กล้วย ส้ม มันฝรั่ง) และฟอสฟอรัสสูง (เช่น นม ชีส)
- ได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอจากเนื้อขาว ปลา และไข่ แต่ไม่ควรเกินความต้องการของร่างกาย
- จำกัดปริมาณน้ำดื่มตามคำแนะนำของแพทย์
- ออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงความเครียด
6. การสนับสนุนโภชนาการด้วยนม Neplus
นอกจากการปฏิบัติตามการรักษาและโภชนาการภายใต้คำแนะนำของแพทย์แล้ว ผู้ป่วยสามารถเลือกใช้นม Neplus ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์โภชนาการเฉพาะทางสำหรับผู้ป่วยโรคไต
- จุดเด่นของผลิตภัณฑ์: มีปริมาณโปรตีน โซเดียม และโพแทสเซียมต่ำ เพื่อลดภาระการทำงานของไต
- เติมเต็มสารอาหาร: อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร และสารสกัดธรรมชาติ (เช่น คอลอสตรัมจากสหรัฐฯ เห็ดหลินจือ โสม ถั่งเช่า ฯลฯ)
- ดีต่อระบบย่อยอาหารและภูมิคุ้มกัน: ช่วยในการดูดซึม เพิ่มภูมิต้านทาน ป้องกันท้องผูก
- ควบคุมค่าต่างๆ ของไต: ช่วยให้แอลบูมิน ยูเรีย และครีเอตินิน อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย

นม Neplus สามารถดื่มได้ทุกวันเป็นอาหารเสริม ช่วยเพิ่มพลังงาน ลดภาระต่อไตและหัวใจ และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
ภาวะไตวายระยะสุดท้ายถือเป็นโรคอันตรายที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบแต่เนิ่นๆ ปฏิบัติตามแผนการรักษา และดูแลโภชนาการอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยยังสามารถยืดอายุและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้